วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2551

มายแม็พปิ้ง แผนที่สมองของฉัน

Mind Map เปรียบเสมือนแผนที่ในเมืองใหญ่ๆ จุดศูนย์กลางหรือ "เม็ดใน" ของ Mind Map ก็เหมือนศูนย์กลางของเมือง มันคือหัวเรื่องหลักหรือประเด็นที่สำคัญที่สุด ถนนสายหลักต่างๆ ที่วิ่งออกจากจุดศูนย์กลาง ก็เปรียบเสมือนความคิดหลักที่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่อง ถนนสายรองๆ ลงมา คือความคิดที่สำคัญรองๆ ลงมา ลดหลั่นต่อไปเรื่อยๆ รูปภาพสัญลักษณ์ต่างๆ แสดงถึงประเด็นความคิดที่น่าสนใจเป็นพิเศษ

Mind Map ยังเป็นแผนที่เส้นทางอัจฉริยะ เปรียบเสมือน ลายแทง ที่นำไปสู่การจดจำ และการเรียบเรียง จัดระเบียบข้อมูลตามธรรมชาติการทำงานของสมองของคุณตั้งแต่ต้นทีเดียว นั่นก็หมายความว่า การจำและการฟื้นความจำ เรียกข้อมูลเหล่านั้นกลับมาในภายหลัง จะยิ่งทำได้ง่ายและมีความถูกต้องแม่นยำมากกว่าการใช้เทคนิคการจดบันทึกแบบเดิมๆ

กฎของ MindMap

1. เริ่มด้วยภาพสีตรงกึ่งกลางหน้ากระดาษ ภาพๆเดียวมีค่ากว่าคำพันคำ ซ้ำยังช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ และเพิ่มความจำมากขึ้นด้วย ให้วางกระดาษตามแนวนอน
2. ใช้ภาพให้มากที่สุดใน Mind Map ของคุณ ตรงไหนที่ใช้ภาพได้ให้ใช้ก่อนคำ หรือรหัส เป็นการช่วยการทำงานของสมอง ดึงดูดสายตา และช่วยความจำ
3. ควรเขียนคำบรรจงตัวใหญ่ๆ เป็นภาษาอังกฤษให้ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ เพื่อที่ว่าเมื่อย้อนกลับไปอ่านจะให้ภาพที่ชัดเจน สะดุดตาอ่านง่าย และก่อผลกระทบต่กความคิดมากกว่า การใช้เวลาเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยในการเขียนตัวให้ใหญ่ อ่านง่ายชัดเจน จะช่วยให้เราสามารถประหยัดเวลาได้ เมื่อย้อนกลับไปอ่านอีกครั้ง
4. เขียนคำเหนือเส้นใต้ แต่ละเส้นต้องเชื่อมต่อกับเส้นอื่นๆ เพื่อให้ Mind Map มีโครงสร้างพื้นฐานรองรับ
5. คำควรมีลักษณะเป็น "หน่วย" เช่น คำละเส้น เพราะจะช่วยให้แต่ละคำเชื่อมโยงกับคำอื่นๆ ได้อย่างอิสระ เปิดทางให้ Mind Map คล่องตัวและยือหยุ่นได้มากขึ้น
6. ใช้ สี ทั่ว Mind Map เพราะสีช่วยยกระดับความคิด เพลินตา กระตุ้นสมองซีกขวา
7. เพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ควรปล่อยให้สมองคิดมีอิสระมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่ามัวแต่คิดว่าจะเขียนลงตรงไหนดี หรือว่าจะใส่หรือไม่ใส่อะไรลงไป เพราะล้วนแต่จะทำให้งานล่าช้าไปอย่างน่าเสียดาย

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2551

กิ่งก้านความคิด - MY MAP

My Map หรือ Mind Map เป็นเทคนิคที่ใช้ในการจดบันทึก ซึ่งถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมแห่งยุคของความเร่งด่วน ทั้งในการทำงาน และ การเรียนรู้เพื่อความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง การศึกษา Mind Map ทำให้เรารู้จักที่จะคิดอย่างเป็นระบบ รู้จักที่จะเรียบเรียงความคิดอย่างสร้างสรรค์ และยังช่วยทำให้ความจำของเราดีขึ้น สามารถอ่านหนังสือได้เร็วขึ้น สามารถนำไปใช้ในการเรียน การทำงาน การประกอบธุรกิจและการดำรงชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดียิ่ง...

วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2551

MeMe

ในอดีต เราเชื่อว่าความฉลาดเฉลียวแบบอัจฉริยะหรือคนที่เป็น Genious นั้น เป็นเรื่องที่ถูกกำหนดโดยgene หรือพันธุกรรม หรือไม่ ก็โครงสร้างที่ไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดา แต่ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ผลงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสมองและความเป็นอัจฉริยะจำนวนมากทำให้บรรดานักวิทยาศาสตร์ ผู้รู้ และนักจิตวิทยาชั้นนำของโลกสรุปว่าสติปัญญาระดับอัจฉริยะถูกกำหนดด้วย meme มากกว่า gene หรือพันธุกรรม meme ที่ว่านี้ก็คือ ระบบและนิสัยการคิดที่เราใช้เป็นประจำนั่นเอง งานวิจัยเกี่ยวกับ meme ของบรรดาอัจฉริยะของโลกนับร้อยคน ไม่ว่าจะเป็นโสเครติส เซอร์ไอแซค นิวตัน โทมัส เจฟเฟอร์สัน โทมัส เอดิสัน ไล่มาจนถึงไอน์สไตน์ แสดงให้เห็นว่าคนเหล่านี้มีระบบการทำงานของสมองและมีวิธีคิดร่วมที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งระบบวิธีคิดเหล่านี้ คนธรรมดา ๆ สามัญสามารถลอกเลียนแบบได้

ทำไมเราจึงเรียนรู้ช้าและความจำก็ไม่ดี

ทำไมเราจึงเรียนรู้ช้า
เพราะว่าเราขาดความสามารถในการจดจ่อความคิดต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเวลานานได้ และไม่สามารถควบคุมความคิดให้คิดในทางที่สร้างสรรค์ได้ เนื่องจากคนส่วนใหญ่จะปล่อยให้สถานการณ์ภายนอกชักจูงความคิดให้โดดไปมา คิดเรื่องในอดีตหรือเรื่องที่ก่อความทุกข์ให้กับตัวเอง และมักปล่อยให้ความคิดในทางทำลายตัวเองเข้ามาบั่นทอนประสิทธิภาพในการเรียนรู้ ทำให้เรียนรู้ช้า คิดไม่ชัดเจนหรือคิดไม่ทัน ดังนั้น ตราบใดที่ยังไม่สามารถตั้งใจคิดได้ คุณก็จะไม่พบคำตอบ

ทำอย่างไรจึงจะเรียนรู้ได้เร็ว

1. เปลี่ยนความคิดจากทางลบ (Negative) มาเป็นทางบวก (Positive)
ทำงานอย่างมีเป้าหมาย ถ้าอยากฉลาดแบบนักคิดระดับโลก ก็ต้องคิดเหมือนพวกเขา คือ ทำสิ่งต่าง ๆ อย่างมีเป้าหมาย เช่น ก่อนจะอ่านหนังสือก็ต้องรู้ก่อนว่าเรากำลังจะอ่านอะไร อ่านไปเพื่ออะไร เป็นต้น
ต้องรู้ระบบความคิดของตนเองก่อนว่าความคิดไหนทำให้เราคิดในทางลบ เช่น เมื่อเราเห็นคนอื่นทำไม่ได้ เราจึงคิดว่าเราทำไม่ได้ เชื่อว่าตัวเองทำไม่ได้ เพราะความจำไม่ดี เป็นต้น ตัดความคิดในทาง Negative ทิ้งแล้วใส่ความคิดในทาง Positive ลงไปแทนที่ เช่น คนอื่นทำไม่ได้ช่างเขา เราทำได้ก็แล้วกัน ท่านทำได้ ถ้าท่านคิดว่าท่านทำได้ เป็นต้น

2. หัดผ่อนคลายทั้งกายและใจ
จากการทดลองพบว่า คนเราจะเรียนรู้ได้เร็วเมื่ออยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลายทั้งกายและใจ ดังนั้น เราควรรู้จักผ่อนคลายจิตใจบ้าง เช่น ฝึกโยคะ ฝึกสมาธิ หรือการสวดมนต์ อาจกล่าวได้ว่า การผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ช่วยยับยั้งความคิดทาง Negative ได้ชั่วคราว

3. พยายามสังเกตว่าตัวเองเรียนรู้ได้ดีจากสื่อใด
ถึงแม้สมองจะมีคุณสมบัติเหมือนกัน แต่รูปแบบหรือวิธีการเรียนรู้ของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน บางคนเรียนรู้ได้เร็วจากการพูดคุยกับผู้อื่น การอ่าน ต้องคิดหาตรรกะ (logic) ด้วยตนเอง ต้องเห็นด้วยตา ถ้าฟังไม่เข้าใจต้องเขียนหรือดูภาพ หรือบางคนต้องฟังอย่างเดียว ดังนั้น ถ้าเราต้องการเพิ่มประิสิทธิภาพในการเรียนรู้ให้ดีขึ้น จำเป็นต้องสำรวจตัวเองว่า
รูปแบบการเรียนรู้แบบใดทำให้เราเรียนรู้ได้เร็ว
ในช่วงเวลาใดของวันที่เรามีสมาธิสูงสุด กระตือรือร้นสูงสุด

4. พยายามสร้างจุดเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลกับสมอง
จะช่วยให้สามารถเก็บข้อมูลและดึงข้อมูลมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจใช้การตั้งคำถาม การเปรียบเทียบข้อมูล เพราะสูงสุดของการเรียนรู้ คือ การนำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์

5. หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
นอกจากจะทำให้มีความสดชื่น กระตือรือร้นแล้ว เมื่อออกกำลังกายนานติดต่อกัน 12 - 20 นาที จะส่งผลให้สมองทำงาน (function) ได้ดียิ่งขึ้น ทำให้สมองทั้ง 3 ส่วน คือ สมองส่วนซ้าย ส่วนขวา และส่วนกลาง ทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างสะดวก ทำให้สามารถใช้สมองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถใช้สมองทั้ง 3 ส่วน ได้พร้อม ๆ กันในเวลาเดียว

6. ควรเข้าใจการทำงานของสมอง
การทำงานของสมองในส่วนความจำจำทำงานได้ดีในเวลาที่ต่างกัน ดังนี้
ช่วงเช้า ความจำระยะสั้น
ช่วงบ่าย ความจำระยะยาว
ก่อนนอน ความจำเกี่ยวกับตัวเลข

คิดว่าสิ่งเหล่านี้คงพอจะนำไปเป็นน้ำจิ้มแห่งการเรียนรู้และความจำได้บ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ และขอให้ความฉลาดอยู่คู่ความดีตลอดไปคับ

วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2551

เบื่อเอ็งจัง

โดยปกติชีวิตผมต้องผจญอยู่กับความน่าเบื่อ และความสับสน ด้วยเพราะความเป็นคนขี้ลืม และความขี้หลง (เด็กๆ) ของตัวเอง ทั้งๆที่ยังไม่แก่ (สักเท่าไหร่) จริงๆแล้ว ผมก็ไม่ได้ขวนขวายที่จะหาวิธีการใดๆ มาช่วยแก้ปัญหาความขี้ลืมของผมเลย เพราะว่าความขี้เกียจมีมากกว่า จนอยู่มาวันนึงขณะที่กำลังเดินสเปะสปะอย่างไร้จุดหมายในร้านขายหนังสือที่ห้างแห่งนึง ขณะที่แอบเหลือบมองหญิงข้างๆ คนนึงอยู่ สายตาก็ได้ไปเจอะกับหนังสือเล่มนึงเข้า หน้าปกเป็นรูปวาดของสมองคน ภายในเล่มอธิบายเกี่ยวกับวิธีการสร้าง Mind Map .. คิดว่าน่าจะดีถ้าได้ลองใช้ มัน ว่าแล้วก็ เปิดหนังสือกลับไปกลับมาอยู่ประมาณ 20 รอบเพื่อดูรูปข้างใน แล้วก็หยิบมันวางไว้ที่เดิม แต่ตอนที่เข้ามาครั้งที่สอง พี่คนขายเค้าเริ่มจำหน้าได้แล้วว่าเจ้าหมอนี่มันมาอ่านฟรีทีนึงแล้ว (ความจำเป็นเยี่ยม) เลยเดินเข้ามาสาละวนอยู่ใกล้ๆ ทำทีเป็นจัดหนังสือ...

โปรดติดตามต่อพรุ่งนี้ละกันนะครับ วันนี้รู้สึกขี้เกียจอีกแล้ว...